แหล่งหินตัดสีคิ้ว แหล่งหินโบราณที่ถูกค้นพบว่าเป็นแหล่งที่นำหินไปสู่การสร้างปราสาทสำคัญ ๆ ในโคราช อีกทั้งยังนับว่าเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยศักยภาพทางธรณีวิทยาที่สำคัญระดับโลก และ รวมถึงเป็นแหล่งมกดกโลก แหล่งหินตัดสีคิ้วจะอยู่ใกล้กับ ภาพเขียนสี 4000 ปี ในอำเภอสีคิ้วทั้ง 2 ที่
- แหล่งหินตัดสีคิ้วนี้อยู่ริมถนนมิตรภาพ กม.205 ข้างๆสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ภาพเขียนสีเขาจันทร์งาม ตั้งอยู่ภายในวัดเลิศสวัสดิ์ (เขาจันทร์งาม) บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 58 ถนนมิตรภาพ บ้านเลิศสวัสดิ์ อ.สีคิ้ว
Korat The UNESCO Triple Heritage City รวม 3 แห่ง ประกอบด้วย
1) มรดกโลก (World Heritage) ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
2) พื้นที่สงวนชีวมณฑลป่าสะแกราช
3) โคราชจีโอพาร์ค (KHORAT Geopark)
ภาพเขียนสี 4000 ปี วัดเขาจันทร์งาม แหล่งภาพมรดกที่สีคิ้ว (โคราช) คลิกอ่านบทความ
เขารูปอีโต้ “เควสตาโคราช” (Khorat Cuesta) คืออะไรและสำคัญอย่างไร
แหล่งหินตัดสีคิ้ว คืออะไร
นับว่าเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญในจังหวัดนครราชสีมา ที่แสดงถึงกระบวนการตัดและขนย้ายหินในสมัยโบราณ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างปราสาทหินและโบราณสถานสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคขอมโบราณ (อาณาจักรเขมรโบราณ) และยุคทวารวดี
ลักษณะและความสำคัญของแหล่งหินตัดสีคิ้ว
1. การตัดหินทราย
– พบหลักฐานเป็นร่องรอยการตัดหินทราย เช่น รอยเครื่องมือ สิ่ว และการขุดเจาะหินที่ยังไม่สมบูรณ์
– บริเวณนี้มีหินทรายคุณภาพดีที่เหมาะสำหรับการใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง
2. เส้นทางลำเลียงหิน
– มีการคาดการณ์ว่าในอดีตอาจใช้เส้นทางน้ำหรือถนนโบราณสำหรับขนส่งหินไปยังสถานที่ก่อสร้าง
ขอบคุณภาพจากเพจ https://th.tripadvisor.com/
หลักฐานจากปราสาทที่เกี่ยวข้องกับแหล่งหินตัดสีคิ้ว
แหล่งหินตัดอำเภอสีคิ้วเป็นแหล่งวัตถุดิบหินทรายที่สำคัญแห่งหนึ่งของมนุษย์ในอดีตสำหรับใช้ในการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยเฉพาะปราสาทในวัฒนธรรมเขมรในเขตอำเภอสีคิ้วและอำเภอสูงเนินในปัจจุบัน เช่น ปราสาทเมืองแขก ปราสาทหัวสระ ปราสาทโนนกู่ เป็นต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15-18
ร่องรอยการสกัดหินที่ปรากฏบนเนินเขามีร่องรอยการสกัดหินทรายออกเป็นก้อน ส่วนใหญ่เป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบางก้อนที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือลูกบาศก์ บางส่วนปรากฏเป็นร่องสกัดแนวยาวต่อเนื่องกัน (ยังไม่มีการสกัดเอาก้อนหินทรายออกไป) ในขณะที่บางส่วนมีการสกัดเอาก้อนหินทรายออกไปแล้ว ที่พื้นผิวด้านข้างของก้อนหินทรายที่ถูกสกัดมีร่องรอยเครื่องมือที่ใช้การสกัด นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าน่าจะเป็นเครื่องมือเหล็กประเภทสิ่ว
ร่องที่เกิดจากการสกัดหินทรายที่แหล่งนี้ อยู่ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้และแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวแตกตามธรรมชาติของหินทรายบริเวณนี้ที่นักธรณีวิทยาศึกษาพบว่ามีแนวแตกอยู่ 2 ทิศทาง คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้เป็นแนวหลัก และแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้เป็นแนวรอง โดยวางตัวตัดการเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายลักษณะรูปหลังเต่า (กรมทรัพยากรธรณี 2557)
เครดิต https://archaeology.sac.or.th/archaeology
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
– แหล่งหินตัดสีคิ้วเป็นหลักฐานที่แสดงถึง ระบบการผลิตวัสดุก่อสร้างและการขนส่งในยุคโบราณ ซึ่งมีการจัดการอย่างเป็นระบบ
– แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ในการสนับสนุนการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนในเชิงวิศวกรรม
หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ
1. ร่องรอยการตัดหินบนพื้นผิวหิน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการตัดหิน เช่น สิ่วเหล็กและค้อนหิน
3. ซากหินที่ยังไม่ได้ขนย้ายไปยังพื้นที่ก่อสร้าง
4. เส้นทางน้ำหรือทางขนส่งที่มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ใกล้เคียง
แหล่งหินตัดสีคิ้วจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ปราสาทหินและโบราณสถานในอีสานที่ยังคงคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน!
แหล่งหินตัดสีคิ้ว ตั้งอยู่ที่ใด
ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) ห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร บริเวณกิโลเมตรที่ 206-207 ด้านซ้ายมือเป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยหินทรายสีขาว ปรากฎร่องรอยของการสกัดหินเป็นร่องลึกรูปสี่เหลี่ยมขนาดต่าง ๆ อยู่หลายแนว และยังทิ้งร่องรอยของคมสิ่วที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสกัด สันนิษฐานว่าเดิมคงจะนำหินทรายบริเวณนี้ไปสร้างปราสาทหินที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เช่น ปราสาทเมืองแขก, ปราสาทโนนกู่ ปราสาทเมืองเก่า
แหล่งหินตัดสีคิ้วมีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่ของประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่สะท้อนถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาเทคโนโลยีของชุมชนในอดีต โดยความสำคัญของแหล่งนี้สามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
สรุป
แหล่งหินตัดสีคิ้วไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังสะท้อนถึง ความรู้ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคนในอดีต ที่มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และการสร้างความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน.